บล็อคนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนสารสนเทศในเรื่อง เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

น้องเวียงพิงค์เจ้า

เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในอนาคต

      ปัจจุบันนี้ ใครที่ได้อ่านข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์คงจะเคยทราบว่าอินเตอร์เน็ตจะมีบทบาทต่อสังคมมากขึ้นในอนาคต เด็กนักเรียนจะสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ดี ๆ จากทั่วโลกได้ด้วยการใช้อินเตอร์เน็ต การผ่าตัดสามารถทำได้ผ่านโลกไซเบอร์สเปซ การติดต่องานกับราชการต่าง ๆ สามารถทำได้ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของแต่ละบ้าน ปล่อยให้การยืนเข้าแถวคอยในการติดต่องานกับข้าราชการซึ่งทำให้เสียเวลากลายเป็นอดีตไป
ด้วยความต้องการเช่นนี้ น่าจะเป็นจริงในอนาคตอันใกล้เนื่องจากมีโครงการใหญ่เกิดขึ้น 2 โครงการเพื่อพัฒนาอินเตอร์เน็ตยุคใหม่ คือโครงการ อินเตอร์เน็ต 2 (Internet2 หรือ I2) และโครงการ NGI (the Next Generation Internet)
โครงการอินเตอร์เน็ต 2 (www.internet2.com)ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997 โดยความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาสหรัฐอเมริกา 120 มหาวิทยาลัยพัฒนาเครือข่ายอินเตอร์เน็ตขั้นสูง University Corporation for Advanced Internet Development (UCAID) เพื่อสนับสนุนการศึกษาและการวิจัย. งานในการพัฒนาเครือข่ายนี้ได้ถูกแบ่งออกเป็น การใช้สเปคตรัมของแสงเดินทางผ่านเครือข่ายออพติคัล ในการส่งข้อมูลที่สำคัญไปในสื่อเดียวกับข้อมูลอื่น ๆ ด้วยความถี่ที่สูงและความเร็วของการส่งข้อมูลที่เร็วมากเท่ากับความเร็วแสง จึงทำให้มีการถูกรบกวนน้อยมาก โดยได้มีการสร้างเครือข่ายอินเตอร์เน็ต 2 นำร่อง ในการให้บริการข้อมูลระหว่างห้องสมุดระหว่างมหาวิทยาลัยเหล่านั้น แต่มีข้อเสียเรื่องอุปกรณ์ที่ใช้นั้นหายากและราคาแพงเช่น จานดาวเทียม และอิเล็กโตรไมโครสโคป และทำให้รัฐบาลต้องลงทุนในการขุดเจาะวางสายเคเบิลใหม่ ส่วน โครงการ NGI ได้มีเป้าหมายในการดำเนินงาน เพื่อพัฒนาวิจัย พัฒนา และทดลองเทคโนโลยีเครือข่ายขั้นสูง ซึ่งมีความน่าเชื่อถื มีบริการหลากหลาย ความปลอดภัย และมีโปรแกรมการโต้ตอบแบบทันที (realtime) เช่นโปรแกรมการจัดการระยะไกล ระบบการทำงานแบบกระจายข้อมูลให้คอมพิวเตอร์หลายเครื่องในระยะไกลช่วยกันคำนวณ และระบบความคุมการทดลองระยะไกล เป็นต้น
เป้าหมายที่ 1 นี้รับผิดชอบโดย DARPA (Defense Advanced Research Projects Agency )
เป้าหมายที่ 2 โครงการ NGI นำโดย องค์กร NFS (National Science Foundations) เพื่อสร้างเครือข่ายอินเตอร์เน็ตยุคใหม่ขึ้น โดยมีพื้นฐานจากโครงการ vBNS โดยคาดหวังว่าเป้าหมายที่ 1 ของโครงการจะบรรลุผลและสามารถเอาชนะข้อจำกัดด้านความเร็วที่มีในการใช้สิวิตซ์ เราเตอร์ เครือข่ายท้องถิ่น และเครื่องแม่ข่ายอย่างสถานีงาน (work station) ได้ สำหรับเป้าหมายที่ 2 เครือข่ายอินเตอร์เน็ตยุคใหม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยเชื่อมต่อมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และองค์กรร่วมอื่น ๆ รวมกว่า 100 แห่งเข้าด้วยกัน ด้วยความเร็วที่สูงกว่าอินเตอร์เน็ตในปัจจุบันกว่า 100 เท่า 



ได้มาจาก  www,google.com

คอมพิวเตอร์ในอนาคต

            คอมพิวเตอร์ในอนาคต
อย่างที่กอร์ดอน มัวร์ ผู้ก่อตั้งบริษัทอินเทลกล่าวไว้ว่า "จำนวนของทรานซิสเตอร์ซึ่งบรรจุอยู่บนแผ่นวงจรรวม หรือ ไมโครชิพ นี้จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆ 18 เดือน" คำกล่าวอันสร้างชื่อแก่เขาในฐานะกฎของมัวร์ (Moore's Law) แล้วในอีก 10 ปีข้างหน้าคอมพิวเตอร์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร น่าสนใจใช่ไหมครับ ในบทนี้ผมจะพาสำรวจเทคโนโลยีที่จะนำมาสร้างคอมพิวเตอร์ในอนาคตอันใกล้นี้ รวมทั้งซอฟต์แวร์ของคอมพิวเตอร์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในอานาคต ซึ่งเราควรรู้ไว้เพื่อเตรียมตัวใช้งานคอมพิวเตอร์แบบใหม่โดยรู้ทันล่วงหน้าครับ


ได้มาจาก  http://www3.ipst.ac.th/research/assets/web/mahidol/computer(10)/future/future_index.htm

ขั้นตอนการเปิดร้านเกมส์ ร้านเน็ตอย่างถูกต้อง

ขั้นตอนการเปิดร้านเกมส์ ร้านเน็ตอย่างถูกต้อง

1. หาที่เช่า ขอหนังสือยินยอมจากเจ้าของให้เช่า พร้อมสำเนาประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน
2. ไปจดทะเบียนพาณิชย์ที่พาณิชย์จังหวัด (กรณีต่างอำเภอไปจดที่องค์การบริหารส่วนจังหวัด) เอกสารที่ต้องนำไป 1. สำเนาบัตรประชาชน 2. สำเนาทะเบียนบ้าน 3. ค่าธรรมเนียม 50 บาท รอครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ
3. เมื่อได้ใบทะเบียนพาณิชย์ ไปขออนุญาติใบเสียภาษีรายได้ ที่สรรพากรประจำเขตที่เราเปิดร้าน (ไม่ต้องกังวลเปิดใหม่เสียขั้นต่ำ 500 บาท ปีต่อไปประเมินจากรายได้และรายได้ แต่ไม่เยอะหรอก)
4. ได้เอกสาร 1. ทะเบียนพาณิชย์ 2.บัตรเสียภาษีรายได้ 3.หนังสือยินยอมเจ้าของอาคารที่เราเช่าพร้อมสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน 4.หนังสือรับรองของข้าราชการตั้งแต่ระดับ 4 ขึ้นไป พร้อมสำเนาบัตรข้าราชการ
5. ไปขออนุญาติที่สถานีตำรวจในเขตที่เราเปิดร้าน กรอกข้อมูลต่างๆ ที่เขาเตรียมให้ พร้อมเอกสารต่างๆ ที่กรมตำรวจแจ้งมา
6. จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่จากอำเภอ สาธารณสุข ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาตรวจที่ร้าน เพื่อออกใบอนุญาติ ถ้าผ่านก็ได้รับใบอนุญาติ แต่ถ้าไม่ได้ก็แก้ไข เช่น เสียงดัง ต้องกั้นกระจก หรือเป็นที่แออัด มืด ห้องน้ำไม่ถูกสุขลักษณะ ก็ต้องแก้ไข แต่ถ้าผู้นำชุมชนไม่อนุญาติ ก็ต้องย้ายสถานที่ครับ
7. เมื่อได้เอกสารครบแล้ว สุดท้ายก็คือ ซื้อลิขสิทธ์โปรแกรม windows, game ให้ถูกต้องทั้งหมด
8. แค่นี้ก็เปิดกิจการได้เลยครับ ทำเรื่องการตลาดต่อไป

** ไม่มีธุรกิจอะไรที่ง่ายและไม่มีอุปสรรคหรอกครับ อยู่ที่เราจะทำและมีความรับผิดชอบต่อสังคมหรือเปล่า



ได้มาจาก  www.google.com

ติดคุกง่ายๆ ถ้าไม่รู้กฏหมาย ICT

การนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ที่ถูกวิธี

น่ารักมากๆค่ะ

น่ารักมากๆค่ะ

<iframe width="300" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/kGK67_6dYS4" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

การใช้คอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวัน


          เริ่มตั้งแต่ตื่นนอน หยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน ปัจจุบันนี้จะพบว่าหนังสือพิมพ์บางฉบับในบ้านเราที่โฆษณาว่าพิมพ์โดยเครื่องพิมพ์คอมพิวเตอร์ ฉะนั้นเราจึงอาจจะเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้ตั้งใจตั้งแต่เวลาเช้ามืด
          
เมื่อแต่งตัว เสื้อผ้าที่ใช้ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์อีก เช่น ผู้ผลิตใช้คอมพิวเตอร์ช่วยวางแผนควบคุมการผลิต  และวิจัยตลาด เมื่อรับประทานอาหารเช้าอาหารที่รับประทานก็อาจจะเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ในทำนองเดียวกับเสื้อผ้า
          พอออกจากบ้านเดินทางไปทำงาน ก็มีการใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยจัดระบบไฟจราจร ยิ่งกว่านั้นทางกระทรวงคมนาคมกำลังเตรียมใช้คอมพิวเตอร์จัดทำระบบข้อมูล เพื่อการคมนาคมทั่วประเทศไทย
          เมื่อถึงที่ทำงาน อาจจะมีเรื่องเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์หลายเรื่อง โทรพิมพ์ที่หลายสำนักงานสั่งมาติดตั้งก็ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ราคาเกือบร้อยล้านบาท ถ้าจะโทรศัพท์ทางไกลติดต่อต่างประเทศก็คงต้องผ่านคอมพิวเตอร์บ้างไม่มากก็น้อย บางประเทศโทรพิมพ์ทางไกลเป็นระบบ
อัตโนมัติจัดโดยคอมพิวเตอร์ทั้งหมด  ถ้าจะจองตั๋วเครื่องบินเพื่อเดินทางไปต่างประเทศ  เจ้าหน้าที่ของบริษัทการบินก็อาจใช้คอมพิวเตอร์ช่วยโดยที่เราไม่ทราบ
          ส่วนผู้อยู่ทางบ้าน อาจจะได้รับใบเรียกเก็บเงินค่าประปา ไฟฟ้า หนังสือพิมพ์ที่จัดพิมพ์โดยคอมพิวเตอร์การจ่ายกับข้าวในบ้านเราอาจไม่ต้องเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์มากนัก แต่ในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น มีตลาดที่ใช้คอมพิวเตอร์มากมายหลายแห่ง การไปต่อทะเบียนรถ ไปธนาคาร ก็อาจจะได้ใช้บริการเงินด่วนหรือบริการคอมพิวเตอร์อื่นๆ อีก
          ฉะนั้นจึงอาจจะกล่าวได้ว่า ในสมัยนี้ไม่ว่าเราต้องการจะเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์หรือไม่ก็ตาม คอมพิวเตอร์ก็อาจจะมาเกี่ยวข้องกับเราโดยที่เราไม่ทราบ
          ในประเทศอุตสาหกรรมอย่างสหรัฐอเมริกาขณะนี้เป็นที่ยอมรับกันว่าทุกบ้านจะมีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือโพรเซสเซอร์อยู่โดยเฉลี่ยบ้านละ ๓ เครื่อง คือ ในรถยนต์บ้าง ในเครื่องไฟฟ้าต่างๆ เช่น ตู้เย็น โทรทัศน์บ้าง
          นอกจากนี้ ยังมีบริษัทผลิตหุ่นยนต์ออกมาขายสามารถทำงานต่างๆ เช่น กวาดบ้าน ล้างชาม ทำกับข้าว เลี้ยงลูกให้ได้ สำหรับบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกานั้น หุ่นยนต์ดังกล่าวคงเหมาะสม แต่สำหรับบ้านเราก็คงจะต้องพิจารณากันอีกหลายแง่หลายมุม
          เวลาไปหาความบันเทิงอาจจะพบการใช้คอมพิวเตอร์หลายกรณี เช่น มีการนำคอมพิวเตอร์ไปทำเป็นตัวตลกมีการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำภาพยนตร์ การ์ตูน ช่วยแต่งเพลง ช่วยเขียนรูป มีการใช้คอมพิวเตอร์เล่นหมากกระดาน เล่นเกมต่างๆ ทางจอโทรทัศน์คอมพิวเตอร์  มีการใช้คอมพิวเตอร์สำหรับถ่ายรูปคนพิมพ์ลงบนเสื้อผ้า  และมีการใช้คอมพิวเตอร์ในการควบคุมแสงสีในการแสดง เป็นต้น
          เวลาไปดูกีฬาก็มีการใช้คอมพิวเตอร์ เช่น ในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ (Asain  Games) และซีเกมส์ (SEA Games) ซึ่งได้จัดขึ้นในประเทศไทย ก็ได้ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยรายงานสรุปผลการแข่งขันจากสนามต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด



ได้มาจาก  www.google.com

นิยามเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ

        คำว่าเทคโนโลยี หมายถึง การประยุกต์เอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ การศึกษาพัฒนาองค์ความรู้ต่าง ๆ ก็เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติ กฎเกณฑ์ของสิ่งต่าง ๆ และหาทางนำมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ เทคโนโลยีจึงเป็นค้าที่มีความหมายกว้างไกล เป็นคำที่เราได้พบเห็นและได้ยินอยู่ตลอดมา ลองนึกดูว่าทรายที่เราเห็นอยู่บนพื้นดิน ตามชายหาด ชายทะเลเป็นสารประกอบของซิลิกอน ทรายเหล่านั้นมีราคาต่ำและเรามองข้ามไป ครั้งมีบางคนที่เรียนรู้วิธีการแยกสกัดเอาสารซิลิกอนให้บริสุทธิ์ และเจือสารบางอย่างให้เกิดเป็นสิ่งที่เรียกว่าสารกึ่งตัวนำ นำมาผลิตเป็นทรานซิสเตอร์ และไอซี (Integrated Circuit : IC) ไอซีนี้เป็นอุปกรณ์ที่รวมวงจรอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากไว้ด้วยกัน ใช้เป็นชิพซึ่งเป็นส่วนสำคัญของคอมพิวเตอร์ สารซิลิกอนดังกล่าวเมื่อผ่านกรรมวิธีทางเทคโนโลยีแล้วจะมีราคาสูงสามารถนำมาขายได้เงินเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเทคโนโลยีจึงเป็นหัวใจของการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพราะเรานำเอาวัตถุดิบมาผ่านเทคนิคการดำเนินการ จะได้วัตถุสำเร็จรูป สินค้าเหล่านี้จะมีมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบนั้นมาก ประเทศใดมีเทคโนโลยีมากมักจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เทคโนโลยีจึงเป็นหาทางที่จะช่วยในการพัฒนาให้สินค้าและบริการมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทุกประเทศจึงให้ความสำคัญของการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาช่วยงานด้านต่าง ๆ
        ส่วนคำว่าสารสนเทศ หมายถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ มนุษย์แต่ละคนตั้งแต่เกิดมาได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เรียนรู้สภาพสังคมความเป็นอยู่ กฎเกณฑ์และวิชาการ ลองจินตนาการดูว่าภายในสมองของเราเก็บข้อมูลอะไรบ้าง เราคงตอบไม่ได้ แต่สามารถเรียกเอา ข้อมูลมาใช้ได้ ข้อมูลที่เก็บไว้ในสมองเป็นสิ่งที่สะสมกันมาเป็นเวลานาน ความรอบรู้ของแต่ละคนจึงขึ้นอยู่กับการเรียกใช้ข้อมูลนั้น ดังนั้นจะเห็นได้ชัดความรู้เกิดจากข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ทุกวันนี้มีข้อมูลรอบตัวเรามาก ข้อมูลเหล่านี้มาจากสื่อ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่การสื่อสารระหว่างบุคคล จึงมีผู้กล่าวว่ายุคนี้เป็นยุคของสารสนเทศ



ได้มาจาก  www.google.com

ตุ๊กกี้ ฮาๆค่ะ




ได้มาจาก www.youtube.com

วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์

     นับตั้งแต่มีการประดิษฐ์คอมพิวเตอร์เครื่องแรกมาจนกระทั่งปัจจุบัน เราสามารถแบ่งยุคของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ออกเป็นยุคต่างๆ ได้ 5 ยุค โดยพิจารณาจากเทคโนโลยีที่ใช้ในการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในช่วง ค.ศ 1951 - 1958 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสูญญากาศ (Vacuun Tube) ขนาดใหญ่ ต้องใช้พลังงานไฟมากในการทำงานการใช้งานยาก ราคาแพง
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในช่วง ค.ศ 1959 - 1964 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอรที่พัฒนาโดยเทคโนโลยีสารกึ่งตัวนำ นำมาใช้แทนหลอดสุญญากาศทำให้คอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในช่วง ค.ศ 1965 - 1971 เป็นคอมพิวเตอร์ที่สร้างจากอุปกรณ์ ที่เรียกว่าวงจรรวม (Integrated Circuit) วงจรรวมเป็นวงจรที่นำเอาทรานซิสเตอร์หลายๆตัวมาประดิษฐ์รวามบนชิ้นส่วนเดียวกัน ทำให้ขนาดของคอมพิวเตอร์เล็กลง และราคาก็ถูกลงกว่าเดิม
คอมพิวเตอร์ยุึคที่ 4 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในช่วง ค.ศ 1972 - 1980 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวมขนาดใหญ่ขึ้นที่รวมการทำงานของทรานซิสเตอร์จำนวนมากขึ้นไว้บนชิ้นส่วนเดียว ทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงเป็คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่เราเห็นกันทั่้วไป
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานตั้งแต่้ ค.ศ 1981 จนถึงปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ได้พัฒนาจนมีความแตกต่างไปจากคอมพิวเตอร์ในยุคก่อนหน้านี้มาก ทั้งขนาดคุณภาพ ประสิทธิภาพความสะดวกและความหลากหลายในการใช้งาน เช่นคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมเป็นต้น และความสามารถอีกหลายอย่างที่อยู่ระหว่างการพัฒนา เช่น การรับรู้คำสั่งด้วยเสีัยงพูดหรือประโยคที่เป็นภาษามนุษย์ คอมพิวเตอร์ที่สามารถเรียนรู้คิดตัดสินใจเช่นเดียวกันมนุษย์

ได้มาจาก www.google.com

ฟังเพลงผ่อนคลายกันค่ะ




ได้มาจาก http://www.youtube.com/watch?v=nxhqlQoCEmc&feature=g-vrec

ระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์

ระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักคือๆ
1.หน่วยประ่มวลผลกลาง (Central Processing Unit = CUP) เปรียบเสมือนสมองของคอมพิวเตอร์เพราะทำหน้าที่คิดคำนวณและประมวลผลชุดคำสั่ง ๆที่เราสั่งเข้าไป
2.หน่วยรับข้อมูลเข้า (INput Unit) เป็นอุปกรณ์ที่รับและส่งข้อมูลเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์เช่น แป้นพิมพ์ (Keyboard) , และเมาส์ (Mouse) เป็นต้น
3.หน่วยแสดงผลข้อมูล (Output Unit) ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ได้จากการประมวลผลต่างๆ โดยอาจจะแสดงออกมา เช่น
- จอภาพ
- เครื่องพิมพ์
- แฟกซ์

ได้มาจาก www.google.com

การใช้งานแต่ละปุ่มบนแป้นพิมพ์ (Keyboard)

1.ปุ่ม Enter ใช้สำหรับขึ้นบรรทัดใหม่เมื่อต้องการพิมพ์เอกสาร
2.ปุ่ม Backspace ใช้สำหรับลบตัวอักษรที่อยู่หน้าเคอร์เซอร์ทีละ 1 ตัวอักษร
3.ปุ่ม Esc ใช้สำหรับการยกเลิกคำสั่งที่ทำไปแล้ว หรือใช้ออกจากโปรแกรมนั้น ๆ
4.ปุ่ม Tile ใช้สำหรับสลับภาษาในการพิมพ์ข้อมูลระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
5.ปุ่ม Tab ใช้สำหรับการจัดตำแหน่งของข้อความให้มีคอลัมน์ตรงกัน
6.ปุ่ม Caps Lock ใช้สำหรับพิมพ์อักษรภาษาไทยที่อยู่แถวบนและพิมพ์อักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่
7.ปุ่ม Shift ใช้สำหรับพิมพ์ตัวอักษรภาษาไทยที่อยู่แถวบน หรืออักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ เมื่อกดปุ่ม Shift ค้างไว้
8.ปุ่ม Space Bar ใช้สำหรับการเว้นวรรคตัวอักษรทีละตัวอักษร
9.ปุ่มตัวอักษร Arrow key ใช้สำหรับการควบคุมการเคลื่อนที่ของเคอร์เซอร์ไปทางซ้าย - ขวา บน - ล่าง
10.ปุ่มแผงตัวเลข Number Key ใช้สำหรับป้อนข้อมูลที่เป็นตัวเลข


ได้มาจาก www.google.com

ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์

1.ประโยชน์ด้านการศึกษา ใช้เพื่องานด้านการเรียนการสอนในหลายรูปแบบ เช่นการนำบทเรียน การผลิตสื่อการสอน การใช้ซีดีรอมสำหรับการเรียนรู้ เกมเพื่อการศึกษาหรือคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
2.ด้านความบันเทิง เป็นการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อความสนุกสนานบันเทิง เช่น เล่นเกมฟังเพลงชมภาพยนต์
3.ด้านการเงิน การธนาคาร ใช้ในการเบิก - ถอนเงินผ่านเครื่อง ATM การโอนเงินด้วยระบบด้วยอัตโนมัติโดยโอนเงินจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การดูข้อมูลตลาดหุ้นการทำกราฟแสดงยอดขาย
4.ด้านการสื่อสารและคมนาคม ใช้ในการติดต่อสื่อสารผ่านอินเตอร์เน็ต สื่อสารถ่ายทอดผ่านดาวเทียมการติดต่อสื่อสารผ่านโทรศัพท์ การคมนาคมทางเรือ เครื่องบินและรถไฟฟ้า
5.ด้านศิลปะและการออกแบบ เป็นการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการวาดรูปการ์ตูนออกแบบงานและการสร้างภาพกราฟิกหรือการตกแต่งภาพในคอมพิวเตอร์
6.ด้านการแพทย์์ ปัจจุบันมีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยงานด้านการแพทย์หลายด้านเช่น การเก็บประวัติคนไข้ การใชhทดลองประกอบการวินิจฉันของแพทย์ใช้ในการตรวจเลือก ตรวจปัสสาวะ การผ่าตัดหัวใจการตรวจสอบห้องพักผู้ป่วยว่าว่างหรือไม่ การควบคุมแสงเลเซอร์การเอ็กซ์เรย์ การตรวจคลื่อนสมองคลื่นหัวใจ เป็นต้น
7.ด้านวิทยาศาสตร์และเคมี ใช้ในการวิเคราะห์สูตรทางเคมีการคำนวณสูตรทางวิทยาศาสตร์การค้นคว้าทดลองในห้องวิทยาศาสตร์ การคำนวณเกี่ยวกับระบบสุริยะจักรวาลและการเกิดปรากฏการณ์เกี่ยวกับดวงดาวต่างๆ


ได้มาจาก www.google.com


มารู้จัก โมเดม กันค่ะ

โมเดม เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแปลงสัญญาณ Analog ไปเป็น สัญญาณ Digital และ จาก Digital ไปเป็นสัญญาณ Analog ซึ่งใน คอมพิวเตอร์นั้นจะมีลักษณะสัญญาณเป็นแบบ Digital ดังนั้นจึงต้อง ใช้ Modem ในการแปลงสัญญาณเพื่อที่จะสามารถส่งสัญญาณไปบน สายโทรศัพท์ ธรรมดาได้ วัตถุประสงค์ของ Modem คือใช้ในการ เชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ในระยะทางไกล ๆ ซึ่งที่พบเห็น การคือการเชื่อมต่อ Internet จากบ้านไปยังผู้ให้บริการ Internet (ISP Internet Service Provider) ซึ่งในปัจจุบันได้มีการนำเทค โนโลยี ADSL ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อด้วยสัญญาณ Digital โดยต้องใช้ กับ DigitalModem หรือ ADSL Modem ซึ่งจะมีความเร็วใน การเชื่อมต่อ ตั้งแต่ 128 Kbit/Sec ขึ้นไป ซึ่ง Modem แบบ Analog ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มีความเร็วสูงสุดที่ 56 Kbit/Sec และ Modem ยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือแบบติดตั้งภายใน (Internal Modem) ซึ่งจะเสียบบน ISA Slot หรือ PCI Slot ภายในเครื่อง ราคาถูก อีกแบบ คือแบบติดตั้งภายนอกซึ่งที่พบเห็นบ่อย จะมี 2 แบบ คือต่อผ่าน Serial Port (COM Port) และ แบบต่อ ผ่าน USB Port (Universal Serial Bus) ซึ่งมีราคาที่แพงกว่า แบบติดตั้งภายในแต่สะดวกในการเคลื่อนย้าย และไม่สร้างปัญหาเรื่อง ความร้อนให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์

ได้มาจาก www.google.com

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

มารู้จักกับโปรเจกเตอร์กันค่ะ

ปัจจุบันโปรเจกเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก เนื่องจากราคาต่อหน่วยลดลงมามากหรือพูดง่ายๆ ก็คือราคาถูกลงมาทำให้นำเอาโปรเจกเตอร์มาทำเป็น “โฮมเธียเตอร์” เรามาดูว่าโปรเจกเตอร์นั้นมีเทคโนโลยีอะไรบ้าง
เทคโนโลยีโปรเจกเตอร์
ปัจจุบันโปรเจกเตอร์ได้มีการพัฒนาให้มีความสามารถสูงขึ้นกว่าแต่ก่อน คุณจะพบว่านอกจากเทคนิคเดิมๆ ที่เป็นหลอดภาพแบบเก่าแล้ว ยังมีเทคนิคใหม่ๆ อีกถึงสองแบบคือแบบ Liquid Crystal Display (CLD) และ แบบ Digital Light Processing (DLP)
โปรเจกเตอร์แบบ LCD : โดยหลักการแล้วโปรเจกเตอร์นี้จะทำงานคล้ายกับจอภาพ TFT มากนั่นคือแสงจากหลอดไฟจะถูกรวมโดยระบบมัลติเลนส์ และเนื่องจาก LDCD-Panel ต้องใช้แสงโพลาไรซ์ดังนั้นปริซึมที่ทำหน้าที่บังคับแสงที่อยู่ถัดมาจึงยอมให้แสง ที่มีการแกว่งในระนาบเดียวผ่านไปได้เท่านั้นจากนั้นกระจกไดโครอิคจำนวนสองตัวจะทำหน้าที่แยกสีแยก แสงสีขาวออบเป็นสีพื้นฐานต่างๆ (RGB) โดยจะไปส่องส่วางที่จอ LCD Panel ซึ่งเป็นแบบโมโนโครมและกันด้วยปริซึมอีกครั้งก่อนถูกฉายออกไป
โปรเจกเตอร์แบบ DLP : โปรเจกเตอร์ลักษณะนี้จะทำงานโดยอาศัยความเฉี่อยของดวงตามนุษย์ด้วยการฉายแสงสีพื้น (RGB) ทั้งสามสีคราวละหนึ่งสีบนจอ โดยแสงจะถูกส่งไปยัง Color – Wheel เพื่อสร้างเป็นสีเขียว แดง และน้ำเงินสลับกันไป จากนั้นแต่ละสีจะถูกส่งไปที่ชิป DMD (Digital Mirror Device) ซึ่งจะมีกระจกปรับทิศอยู่บนพื้นผิวสำหรับสร้างจุดภาพแต่ละภาพ ซึ่งสีและความสว่างที่เกิดขึ้นนั้นจะขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาที่กระจกสะท้อนแสงไปยังโปรเจกเตอร์ออปติก ซึ่งการทำงานด้วยการใช้เทคนิคนี้โปรเจกเตอร์จะให้คุณภาพภาพและความสว่างในเกณฑ์ที่ดี นอกจากนี้ยังทำให้สามารถออกแบบโปรเจกเตอร์ที่มีขนาดเล็กกะทัดรัดต่างกันไป


ได้มาจาก http://www.sglcomp.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=376112





ไวรัสคอมพิวเตอร์ตัวแรกของโลก

องค์ประกอบของการดำเนินธุรกิจ

องค์ประกอบของการดำเนินธุรกิจ

ในการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประเภทใดก็ตาม จะมีองค์ประกอบสำคัญอยู่หลายประการ ที่เป็นตัวผลักดันให้ธุรกิจสามารถ
ดำเนินไปได้ องค์ประกอบดังกล่าว ก็คือ
1. คน ถือว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในการจัดตั้งสถานประกอบการ เพราะในการดำเนินธุรกิจทุกอย่าง คนต้องเป็นหลักในการที่
จะทำให้เกิดธุรกิจและการบริการ แม้ว่าจะมีเครื่องจักรกลที่ทันสมัยหรือเทคโนโลยีสูงเพียงใดก็ต้องอาศัยคนในการควบคุม หรือแม้จะผลิตสินค้า หรือบริการที่มีคุณภาพสูงและได้มาตรฐานเพียงใดก็ตาม ก็ต้องอาศัยสมองคนในการดำเนินการโฆษณา และขายสินค้าออกโดยการวางแผนให้ได้กำไรมากที่สุด
2. เงิน ถือเป็นสิ่งที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่ามีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมากนอกจากจะมีคนเป็นหลักแล้วเงินยังเป็นสิ่งที่สำคัญในการจูงใจให้คนมีความกระตือรือร้นขยันทำงาน เช่น การให้เงินแก่พนักงานในการทำงานล่วงเวลาการให้สวัสดิการต่าง ๆ เป็นต้น
3. เครื่องมือเครื่องจักร ในบางครั้งการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพและได้ปริมาณมากๆจะอาศัยเฉพาะแรงงานคนไม่ได้ จำเป็นจะต้องอาศัยเครื่องจักรในการผลิต เพราะการผลิตโดยใช้เครื่องจักรสามารถทำได้รวดเร็วและได้มาตรฐานเท่าเทียมกัน
4. วัตถุดิบ ถือได้ว่ามีความสำคัญต่อคุณภาพของสินค้าเพราะสินค้าจะมีคุณภาพดีหรือไม่องค์ประกอบสำคัญอันหนึ่งก็คือจะต้องได้วัตถุดิบที่ดี การจัดตั้งโรงงานก็มักจะตั้งอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบเพราะจะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งวัตถุดิบเข้าโรงงาน
5. การจัดการ นับว่ามีความสำคัญเช่นกันการผลิตสินค้าประเภทเดียวกันคุณภาพสินค้าเท่าๆกัน แต่ต้นทุนการผลิตอาจจะ
แตกต่างกันขึ้นอยู่กับการบริหารการจัดการหรือการนำหลักการบริหารการจัดการที่สมัยใหม่มาใช้ในการผลิต แทนระบบการผลิตแบบเดิม ๆ
6. การตลาด จะขายสินค้าให้ใคร ขายที่ไหน ขายอย่างไร เป็นหน้าที่ของการตลาด กิจการที่มีนักการตลาดที่มีความสามารถ
ย่อมส่งผลให้กิจการนั้นมีรายได้มีความเจริญก้าวหน้า
7. ขวัญและกำลังใจ นักบริหารผู้จัดการ หรือเจ้าของโรงงานจะต้องรู้จักสังเกตดูแลเอาใจใส่คอยให้ขวัญและกำลังใจแก่พนักงานภายในโรงงานหรือบริษัทอย่างสม่ำเสมอเพราะความสำเร็จของกิจการนั้นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งก็คือการที่พนักงานมีขวัญและกำลังใจที่ดีในการปฏิบัติงาน




ได้มาจาก www.google.com

รู้ไว้ไม่เสียหายค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ความหมายของธุรกิจ

ความหมายของธุรกิจ   
         
          การดำเนินชีวิตของมนุษย์ในสมัยโบราณ มีความแตกต่างกับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในปัจุบันเนื่องจากจำนวนประชากรของมนุษย์ในสมัยโบราณมีจำนวนน้อย แต่ละคนและแต่ละครอบครัวจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยตนเองตามลำพัง โดยสร้างที่พักอาศัย ทำเครื่องนุ่งห่ม เพาะปลูกพืช และล่าสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพของตนเองตามความสามารถของแต่ละคน เมื่อสังคมของมนุษย์ขยายขึ้น และความถนัดของมนุษย์มีไม่เหมือนกัน บางคนถนัดในการล่าสัตว์ บางคนถนัดในการเพาะปลูก บางคนถนัดในการทำเครื่องนุ่งห่ม จึงเกิดระบบการแลกเปลี่ยน โดยการใช้ของแลกของ (Barter System) กันขึ้น เช่น นำข้าวแลกเนื้อสัตว์นำไข่แลกเสื้อผ้า เป็นต้น แต่การนำของแลกของก็มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น เพราะสิ่งของบางอย่างแบ่งแยกได้ยาก เช่น ข้าว 3 ถังแลกวัวได้ 1 ตัว แต่ถ้าคนที่มีข้าว 1 ถังต้องการแลกกับวัว 1 ตัวไม่ได้ ต้องมีการแบ่งแยกวัวซึ่งทำได้ยาก หรือบางครั้งความต้องการของคนที่นำมาแลกไม่ตรงกัน เช่น คนที่มีไข่ต้องการแลกกับเสื้อผ้า แต่คนที่มีเสื้อผ้าต้องการข้าวเป็นต้น ดังนั้นระบบการแลกเปลี่ยนของต่อของจึงเปลี่ยนไป โดยใช้สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน สิ่งที่แต่ละยุคนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนขึ้นอยู่กับความพอใจของคนในแต่ละยุคนั้น เช่น เปลือกหอย ทองคำ ฯลฯ ซึ่งได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจนั่นเอง จากความเป็นมาของการดำเนินชีวิตดังกล่าวสามารถสรุปความหมายของธุรกิจได้ดังนี้               
          ธุรกิจ (Business) หมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดการผลิตสินค้าและบริการโดยมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน และมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการประโยชน์หรือกำไรจากการกระทำกิจกรรมนั้น

ความสำคัญของธุรกิจ
         
          มนุษย์ทุกคนมีความต้องการที่เหมือนกันอยู่ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ประเภทแรกเป็นความต้องการที่จำเป็นขั้นพื้นฐานต่อการดำรงชีวิต (Needs) ได้แก่ปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ส่วนความต้องการอีกประเภทหนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์อยากมี(Wants) แต่ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้มนุษย์ก็ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตัวอย่างเช่น รถยนต์ โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ดังนั้นธุรกิจจึงมีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของมนุษย์ เพราะธุรกิจเป็นแหล่งผลิตสินค้าและบริการ เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ทั้ง 2 ประเภทดังที่กล่าวมาแล้ว
          สินค้าคือสิ่งของที่มีตัวตน สามารถมองเห็นและจับต้องได้ เช่น รถยนต์ อาหาร เสื้อผ้า เป็นต้นตัวอย่างของธุรกิจที่เป็นแหล่งผลิตสินค้า เช่นโรงงานผลิตรถยนต์ โรงงานผลิตเสื้อผ้า เป็นต้น สำหรับการให้บริการนั้น หมายถึง สิ่งที่ไม่มีตัวตน ไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้ แต่สามารถกำหนดราคาเพื่อซื้อขายกันได้ ตัวอย่างเช่นการให้บริการของสถานเริงรมย์ บริการเสริมสวย บริการซักรีด บริการขนส่ง บริการด้านการสื่อสารของสถานที่ให้บริการเฉพาะนั้น ๆ เป็นต้น

วัตถุประสงค์ของธุรกิจ

          การประกอบธุรกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประเภทใดก็ตาม สิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจต้องการ คือ กำไรแต่นอกเหนือจากกำไรแล้ว ยังมีสิ่งอื่นอีกที่ธุรกิจจะต้องคำนึงถึง เช่น ความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค ความรับผิดชอบต่อสังคม ความรับผิดชอบต่อลูกจ้างพนักงาน ฯลฯ

วัตถุประสงค์ของธุรกิจ (Business Goals) ที่สำคัญมีดังนี้

          1. เพื่อความมั่นคงของกิจการ เมื่อธุรกิจเริ่มดำเนินการขึ้น เจ้าของธุรกิจก็มีความประสงค์จะผลิตสินค้า หรือบริการเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคต่อไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีที่สิ้นสุด
          2. เพื่อความเจริญเติบโตของธุรกิจ นอกจากความมั่นคงของกิจการแล้ว ธุรกิจยังต้องการที่จะเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยการขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้น มีสาขาเพิ่มขึ้น มีพนักงานเพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิดความมั่นคงทั้งทางการเงินและฐานะทางสังคม
          3. เพื่อผลประโยชน์หรือกำไร สิ่งที่จูงใจให้เจ้าของธุรกิจดำเนินธุรกิจต่อไป คือ กำไร ถ้าธุรกิจไม่มีกำไรกิจการนั้นก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ การที่ธุรกิจจะมีกำไรได้นั้นคือ ต้องจำหน่ายสินค้าหรือได้รับค่าบริการในราคาสูงกว่าค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนที่ได้เสียไปในการผลิตสินค้าหรือบริการนั้น
          4. เพื่อความรับผิดชอบต่อสังคม การดำเนินธุรกิจจะต้องคำนึงถึงจารีตประเพณีศีลธรรมอันดีงามของสังคมด้วย ธุรกิจจะต้องไม่ดำเนินการที่ขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อประเพณี ศีลธรรมอันดีงามของสังคม ธุรกิจจะต้องคำนึงถึงผู้บริโภค คำนึงถึงสภาพแวดล้อมต้องช่วยพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของสังคมให้ดีขึ้น เช่น การไม่ปล่อยน้ำเสียลงในแม่น้ำลำคลอง การไม่ผลิตสินค้าที่มีสารพิษตกค้าง การไม่ตัดไม้ทำลายป่า การไม่ก่อให้เกิดมลพิษ ฯลฯ

          จากวัตถุประสงค์ของธุรกิจดังกล่าว จัดว่าเป็นวัตถุประสงค์ส่วนใหญ่ของธุรกิจเอกชน แต่ยังมีการประกอบธุรกิจบางประเภทที่ไม่ได้หวังผลกำไร (Social Prestige) ได้แก่ กิจการประเภทสาธารณูปโภค (Public Utilities) ต่าง ๆ เช่น การดำเนินกิจการของการไฟฟ้า การประปา การสื่อสารแห่งประเทศไทย เป็นต้น กิจการดังกล่าวดำเนินการโดยรัฐบาล ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนกินดีอยู่ดี มีความสะดวกสบาย
ที่มา:http://www.idis.ru.ac.th/report/index.php?topic=3186.0

รู้จักธุรกิจเครือข่าย


ธุรกิจเครือข่าย เป็นระบบธุรกิจการตลาดรูปแบบใหม่ที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถได้เป็นเจ้าของธุรกิจที่สร้างรายได้จำนวนมาก โดยไม่ต้องมีความเสี่ยงและไม่ต้องลงทุนเงินเป็นจำนวนมากเหมือนกับการทำธุรกิจทั่วๆไป เพียงเริ่มต้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดี และเมื่อเกิดความประทับใจในตัวผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ก็ทำการแนะนำบอกต่อให้คนที่รู้จักได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีนั้นเหมือนกับตนเป็นการโฆษณาแบบปากต่อปาก เมื่อมีการซื้อผลิตภัณฑ์ใช้ตามคำบอกเล่าจากผู้แนะนำ ก็จะทำให้เกิดกระบวนการเคลื่อนย้ายสินค้าจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการโฆษณาและพ่อค้าคนกลาง เหมือนกับการตลาดแบบเดิม ที่การเคลื่อนย้ายสินค้าจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภคจะต้องผ่านระบบพ่อค้าคนกลางซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับกำไรถึง 60% จากการจัดส่งสินค้ามาสู่ผู้บริโภค
เมื่อเกิดกระบวนการเคลื่อนย้ายสินค้าจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคโดยตรง ทำให้บริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์สามารถประหยัดงบประมาณที่เป็นค่าโฆษณาได้มาก ซึ่งบริษัทจะนำงบค่าโฆษณาที่ประหยัดได้ไปใช้ทำการวิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้นอีก ส่วนผลกำไร 60% ของพ่อค้าคนกลางที่ถูกตัดออกมานั้น บริษัทจะนำเงินส่วนนี้มาจัดสรรให้กับผู้บริโภคที่ใช้ดีแล้วทำการบอกต่อกับผู้อื่นเป็นลำดับชั้นตามส่วนที่บริษัทกำหนดไว้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในระบบการตลาดแบบเครือข่ายนี้ จะทำให้ผู้บริโภคสามารถมีส่วนแบ่งของรายได้มากถึง 60% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์ จากระบบการกระจายสินค้าสู่ผู้บริโภคแบบใหม่ นอกเหนือจากการที่จะต้องเป็นผู้จ่ายเงินซื้อสินค้าเพียงอย่างเดียวในระบบธุรกิจแบบเดิม
โดยการตลาดแบบเครือข่ายผู้บริโภค ที่ใช้วิธีการแนะนำบอกต่อนี้จะมีลักษณะที่พิเศษกว่าการตลาดแบบทั่วๆไป คือ ความสามารถในการขยายตัวของจำนวนผู้บริโภคที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นได้แบบไม่จำกัดจำนวน โดยอาศัยเพียงการแนะนำผลิตภัณฑ์จากคน 1 คนแนะนำให้กับคน 2 – 3 คนและแต่ละคนของ 2 – 3 คนบอกต่อกับคน 2 – 3 คนต่อๆไป ก็จะเกิดการขยายตัวของจำนวนผู้บริโภค ในลักษณะพหุคูณเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด
ที่มา

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ความสำคัญของคอมพิวเตอร์

             ปัจจุบันเทคโนโลยีและการสื่อสารได้เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ในการดำเนินชีวิตประจำวันของมนุษย์อุปกรณ์สื่อสารและคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาค้นคว้าและการทำธุรกิจ ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ทำให้องค์กรต่างๆ นำเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาช่วยในการดำเนินงานขององค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรับ-ส่งข้อมูลข่าวสารอิเล็กทรอนิกส์ การทำธุรกิจและให้บริการบนอินเตอร์เน็ต ตลอดจนการใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการทำงานไม่เพียงแต่ในองค์กรต่างๆ เท่านั้นที่นำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้งาน ผู้ใช้ตามบ้านโดยทั่วไป ก็ได้จัดหาคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ส่วนตัวกันมากขึ้น เนื่องจากคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันมีราคาถูก แต่มีประสิทธิภาพสูง รวมทั้งสามารถใช้งานได้ง่ายกว่าในอดีตมาก จนมีการประมาณการกันว่า ในอนาคตคอมพิวเตอร์จะเป็นอุปกรณ์พื้นฐานในทุกๆ ครัวเรือนเหมือนกับเครื่องรับโทรทัศน์
              ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว การเรียนรู้การใช้งานคอมพิวเตอร์ในระดับเบื้องต้น จึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในการทำงานการศึกษาหรือเพื่อความบันเทิง ให้มีประสิทธิภาพและความสะดวกเพิ่มมากขึ้น
               คอมพิวเตอร์มีข้อดีอย่างไร มนุษย์เราจึงได้นำมาใช้งานกันอย่างกว้างขวาง ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ได้ เราต้องทราบคุณสมบัติพื้นฐานของคอมพิวเตอร์เสียก่อน ซึ่งมีอยู่ 5 ประการที่สำคัญดังนี้
1. ทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (electronic machine)คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการบันทึกข้อมูล ประมวลผล และแสดงผลลัพธ์ การจัดเก็บข้อมูลที่บันทึกผ่านทางแป้นพิมพ์หรืออุปกรณ์อื่นๆ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกแปลงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อให้คอมพิวเตอร์เข้าใจและสามารถประมวลผลได้ และเมื่อคอมพิวเตอร์ประมวลผลเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลที่เป็นสัญญาณไฟฟ้าจะถูกแปลงกลับให้เป็นรูปแบบที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้
 2. การทำงานด้วยความเร็วสูง (speed)เนื่องจากการทำงานของคอมพิวเตอร์เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นการดำเนินงานต่างๆ จึงสามารถกระทำได้อย่างรวดเร็ว (มากกว่าพันล้านคำสั่งในหนึ่งวินาที)
 3. ความถูกต้องแม่นยำเชื่อถือได้ (accuracy and reliability)คอมพิวเตอร์จะทำงานตามคำสั่งที่มนุษย์เขียนโปรแกรมหรือคำสั่งไว้ ถ้าผู้ใช้ป้อนข้อมูลและชุดคำสั่งมีความถูกต้อง ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลก็จะมีความถูกต้องเชื่อถือได้
 4. การเก็บข้อมูลได้ในปริมาณมาก (storage)คอมพิวเตอร์มีหน่วยความจำที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่บันทึกเข้าไป ความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลนี้จะขึ้นอยู่กับขนาดของคอมพิวเตอร์ เช่น เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันจะมีหน่วยเก็บข้อมูลสำรองที่สามารถบันทึกข้อมูลได้มากกว่าหนึ่งล้านตัวอักษร
 5. การสื่อสารเชื่อมโยงข้อมูล (communication)คอมพิวเตอร์สามารถติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ และสามารถทำงานที่หลากหลายมากขึ้นกว่าการใช้คอมพิวเตอร์แบบระบบเดี่ยว ตัวอย่างเช่น การนำคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตเพื่อการสืบค้นข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น (remote computer)

                 จากคุณสมบัติของคอมพิวเตอร์เราจะเห็นได้ว่า คอมพิวเตอร์สามารถทำงานหลายๆ อย่างที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ หรือถ้ามนุษย์ทำได้ ก็จะใช้เวลามากและมีข้อผิดพลาดมากมาย เช่น การคำนวณตัวเลขหลายหลักเป็นจำนวนมากภายในเวลาจำกัดการทำงานในแบบเดียวกันซ้ำๆ หลายล้านครั้ง หรือการจดจำข้อมูลตัวเลขและตัวหนังสือหลายหมื่นหน้าโดยไม่มีการลืม งานที่น่าเบื่อและยุ่งยากเหล่านี้เราสามารถใช้คอมพิวเตอร์ทำงานแทนได้ โดยเรามีหน้าที่เพียงเป็นผู้สั่งการเท่านั้น



การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น

1.  การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
1.  เสียบปลั๊กไฟทุกเส้นที่ต่อจากเครื่องคอมพิวเตอร์
2.  กดปุ่ม  Power  เพื่อเปิดเครื่อง  จะมีไฟติดที่เครื่องและแป้นพิมพ์
3.  เปิดสวิตช์จอภาพ  จะมีตัวอักษรขึ้นบนจอภาพ  และเริ่มเข้าสู่โปรแกรม
4.  ใช้เมาส์คลิกที่ปุ่ม Start  จะปรากฏกลุ่มงานให้เลือกใช้
5.  ใช้เมาส์คลิกที่โปรแกรม (Programs)  จะปรากฏแถบรายชื่อโปรแกรมต่าง ๆ ให้เลือก
6.  คลิกชื่อโปรแกรมที่ต้องการใช้งาน  โปรแกรมงานก็จะถูกเปิดขึ้นทันที
2.  การปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
1.  คลิกที่ปุ่มปิดโปรแกรม (Close) X
2.  คลิกที่ปุ่ม Start
3.  เลือก Shut down
4.  เลือกตัวเลือกที่ต้องการ
5.  เลือกปุ่ม OK  แล้วเครื่องจะถูกปิดลง
3.  การใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด (Microsoft Word)
     โปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด (Microsoft Word)  เป็นโปรแกรมที่นิยมใช้ในการพิมพ์เอกสารต่าง ๆ เช่น  จดหมาย  รายงาน  ซึ่งมีคุณสมบัติในการสร้าง  ตกแต่งสีและจัดรูปแบบเอกสารให้สวยงาม  และสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว
การเรียกใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด  มีขั้นตอนปฏิบัติดังนี้
1.  คลิกปุ่ม Start  ไปที่ Programs
2.  คลิกเมาส์เพื่อเลือก Microsoft Word  จะปรากฏหน้าต่างของ Microsoft Word
การใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด  เพื่อพิมพ์เอกสาร  สามารถปฏิบัติดังนี้
1.  เลือกแบบตัวอักษร  และขนาดตัวอักษรที่ต้องการ
2.  พิมพ์ข้อความตามต้องการ
3.  การแก้ไขข้อความ
ถ้าต้องการแก้ไขข้อความก็สามารถทำได้  ดังนี้
-  เลื่อนเมาส์มาในหน้าเอกสาร  เคอร์เซอร์ (Cursor)  จะเปลี่ยนเป็น I  (I-beam)
-  นำเคอร์เซอร์ไปคลิกตรงข้อความที่ต้องการแก้ไข  และทำการแก้ไข  ดังนี้
การแทรกข้อความ  มีขั้นตอนดังนี้
1)  ใช้เมาส์คลิกตำแหน่งที่ต้องการแทรก
2)  พิมพ์ข้อความที่ต้องการแทรกลงไป
การลบตัวอักษรและข้อความ  มีขั้นตอนดังนี้
1)  ลบตัวอักษรทีละตัว  ทำได้โดยคลิกให้เครื่องหมายเคอร์เซอร์อยู่หลังอักษร  แล้วกดปุ่ม Backspace
2)  ลบข้อความยาว ๆ ให้คลิกเมาส์ด้านซ้ายค้างไว้  แล้วลากไปที่ข้อความที่ต้องการลบให้เป็นแถบสีดำ  แล้วกดปุ่ม Enter หรือ Delete
4.  การพิมพ์เอกสารในกระดาษ  มีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้
1)  คลิกที่เมนู File  เลือกคำสั่งพิมพ์  จะปรากฏหน้าต่างการพิมพ์ขึ้น
2)  กำหนดเครื่องพิมพ์ที่ใช้
3)  เลือกส่วนของระยะหน้า  เช่น
 -  พิมพ์ทั้งหมด  เครื่องจะพิมพ์ทุกหน้าที่อยู่ในแฟ้ม
 -  หน้าปัจจุบัน  เครื่องจะพิมพ์หน้าที่มีเครื่องหมายเคอร์เซอร์อยู่
 -  หน้า  ให้ระบุหน้าที่จะพิมพ์  เช่น  1-5, 8-10
4)  เลือกจำนวนชุด  ตอบเป็นชุด  แล้วคลิกปุ่มตกลง
5.  การจัดเก็บเอกสาร  มีขั้นตอนดังนี้
1)  เลือกเมนู File  แล้วคลิกที่ Save หรือ Save As  จะปรากฏหน้าต่าง Save As  ขึ้น
2)  เลือกที่สำหรับจัดเก็บ
3)  ตั้งชื่อไฟล์
4)  คลิก Save
6.  การปิดเอกสารและออกจากโปรแกรม
1)  ถ้าปิดเอกสาร  ถ้าต้องการปิดเอกสารให้กดปุ่ม X ที่อยู่มุมขวาของเอกสารนั้นถ้าเอกสารนั้นยังไม่ได้ Save จะมีหน้าต่างขึ้นมาถามว่าต้องการ Save หรือไม่  ถ้าต้องการให้คลิกที่ใช่ (Yes)  ถ้าไม่ต้องการให้คลิกที่ไม่ใช้ (No)  แต่ถ้าต้องการยกเลิกการปิดเอกสารให้คลิกที่ยกเลิก (Cancel)
2)  การออกจากโปรแกรม  มีขั้นตอนดังนี้
1)  คลิกที่เมนู File
2)  เลือกที่ Exit  หรือคลิกที่ปุ่ม X ที่มุมขวาของโปรแกรม


ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์

ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
โดยหลักการแล้ว ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ที่ทำงานตามหน้าที่ 4 ส่วนด้วยกัน คือ
1.) ส่วนรับข้อมูล (Input Unit)เป็น ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลจากคน และส่งต่อข้อมูลไปยัง หน่วยประมวลผล(Process Unit) เพื่อทำการประมวลผลต่อไป รูปแบบการส่งข้อมูลจากอุปกรณ์รับข้อมูลจะอยู่ในรูปของการส่งสัญญาณเป็นรหัสดิจิตอล (หรือเป็นเลข 0 กับ 1) นั่นเองอุปกรณ์ส่วนรับข้อมูล 
2.) ส่วนประมวลผลข้อมูล (Central Processing Unit) ส่วนประมวลผลข้อมูล  เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลที่รับมาจาก ส่วนรับข้อมูล(Input Unit) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ อีกทั้งยังทำหน้าที่ในการควบคุมการทำงานต่างๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ 
3.) ส่วนแสดงผล (Output Unit)เป็นหน่วยที่แสดงผลลัพธ์ที่มาจากการประมวลผลข้อมูล ของส่วนประมวลผลข้อมูล โดยปกติรูปแบบของการแสดงผล มีอยู่ 2 แบบ ด้วยกันคือ แบบที่สามารถเก็บไว้ดูภายหลังได้ และแบบที่ไม่มีสำเนาเก็บไว้ 
4.) หน่วยความจำ (Memory Unitอุปกรณ์เก็บสถานะข้อมูลและชุดคำสั่ง เพื่อการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ หน่วยความจำชั่วคราวและหน่วยความจำถาวร 




ได้มาจาก http://computer.kapook.com/component.php

อรุณสวัสดิ์ flavour

ยินดีต้อนรับ

ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Blogger ของนางสาวประภัสสร   พลนงค์ กลุ่มเรียนที่ 12  รายวิชาอินเตอร์เน็ตเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน

ยอนดีต้อนรับ

ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Blogger ของนางสาวประภัสสร  พลนงค์ กลุ่มเรียนที่ 12 รายวิชาอินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน